The-Legend-of-Dusit-Thani

ตำนานที่น่าศึกษาของโรงแรมดุสิตธานี

22-07-2025

Dusit-Thani-Bangkok

 

ตำนานที่น่าศึกษาของโรงแรมดุสิตธานี

 

เรื่องราวของเครือดุสิตธานีมิอาจแยกขาดจากเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งได้เลย เรื่องราวของความทะเยอทะยานส่วนตัวที่ถักทอเข้ากับความภาคภูมิใจในชาติ และได้วางรากฐานอันเป็นตำนานให้กับอาณาจักรดุสิตธานีทั้งหมด

 

วิสัยทัศน์ที่หล่อหลอมจากต่างแดน

 

Thanpuying-Chanut-Piyaoui

 

ภาพของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย (นามเดิม หยก แซ่หวัง) ไม่ใช่เป็นเพียงภาพของนักธุรกิจหญิง แต่คือภาพของนักฝันผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ท่านเกิดในครอบครัวพ่อค้าไม้และค้าข้าวที่มั่งคั่ง จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของท่านเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อท่านเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ประสบการณ์ในต่างแดนครั้งนั้นได้จุดประกาย "ความรักในการเดินทางและอิสระ" พร้อมกับความฝันอันยิ่งใหญ่ที่ต้องเป็นเจ้าของโรงแรมให้ได้

ความฝันนั้นเริ่มก่อร่างสร้างตัวในปี พ.ศ. 2492 ด้วยการเปิดโรงแรม "ปริ๊นเซส" ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นก้าวแรกในฐานะผู้ประกอบการ แต่ยังเป็น "ทุนรอนสำคัญ" ที่จะนำไปสู่การสร้างโรงแรมดุสิตธานีในเวลาต่อมา ความสำเร็จของโรงแรมปริ๊นเซส ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงแรมแห่งแรกๆ ในกรุงเทพฯ ที่มีสระว่ายน้ำ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและตอบสนองความต้องการของลูกค้าระดับสูงของท่านตั้งแต่เนิ่นๆ

อย่างไรก็ตาม ประกายไฟที่แท้จริงที่ทำให้วิสัยทัศน์ของท่านชัดเจนขึ้นคือการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นและได้เข้าพักที่โรงแรมโอกุระ (Hotel Okura) ความประทับใจในมาตรฐานระดับโลกของโรงแรมแห่งนั้นไม่ได้ทำให้ท่านต้องการลอกเลียนแบบ แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้ท่านต้องการสร้างโรงแรมของคนไทยที่มีมาตรฐานทัดเทียมหรือเหนือกว่า เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ในยุคสมัยที่โรงแรมชั้นนำในประเทศไทยมักบริหารงานโดยชาวต่างชาติ เช่น โรงแรมสยาม อินเตอร์คอนติเนนตัล ที่มีสายการบินแพนแอมเป็นเจ้าของ ความปรารถนาของท่านผู้หญิงชนัตถ์จึงไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่เป็นการแสดงออกถึงวัฒนธรรมและความเป็นชาติในเวทีโลก เป็นการพิสูจน์ว่าประเทศไทยสามารถสร้างสรรค์ความหรูหราและการบริการที่ยอดเยี่ยมได้ โดยผสมผสานกับอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง

 

สร้างแลนด์มาร์ค ฝ่าฟันอุปสรรคอันเป็นจุดเริ่มต้นโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ

 

การสร้างโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคนานัปการ ทั้งในด้านเทคนิค การเงิน และทัศนคติของสังคมในยุคนั้น โรงแรมแห่งนี้ถูกตั้งเป้าให้เป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเป็นความท้าทายทางวิศวกรรมอย่างยิ่งในสมัยที่อาคารสูงเกินสิบชั้นยังเป็นของหายาก เพื่อให้ความฝันนี้เป็นจริง ท่านผู้หญิงชนัตถ์ได้ร่วมมือกับสถาปนิกชาวญี่ปุ่น มร.โยโซ ชิบาตะ และบริษัท Kanko Kikaku Sekkeisha (KKS) รวมถึงบริษัทไทยโอบายาชิ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการนำความเชี่ยวชาญระดับนานาชาติมาใช้เพื่อสร้างฝันของคนไทยให้เป็นจริง

สิ่งที่ทำให้ดุสิตธานีโดดเด่นคือการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เข้ากับมรดกทางวัฒนธรรมไทยอย่างลงตัว ในขณะที่อาคารยุคนั้นนิยมรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบตะวันตก ท่านผู้หญิงชนัตถ์กลับยืนหยัดที่จะสร้างโรงแรมที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ท่านถึงกับนำทีมสถาปนิกญี่ปุ่นไปศึกษาวัดวาอารามต่างๆ เพื่อซึมซับสุนทรียภาพแบบไทย ผลลัพธ์ที่ได้คืออาคารรูปทรงสามเหลี่ยมที่มียอดแหลมสีทองอร่าม หรือ "Golden Spire" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากยอดพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม กลายเป็นสัญลักษณ์ที่จดจำได้ทันที แม้แต่ชื่อ "ดุสิตธานี" ก็มีความหมายลึกซึ้ง โดยอ้างอิงถึงสวรรค์ชั้นดุสิตและเมืองจำลองประชาธิปไตยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทั้งยังตั้งอยู่บนที่ดินที่เคยเป็นบ้านพระราชทานอีกด้วย

นอกเหนือจากความท้าทายด้านการก่อสร้างแล้ว ท่านผู้หญิงชนัตถ์ยังต้องต่อสู้กับทัศนคติของสังคมที่มองว่า "ผู้หญิง" ไม่ควรทำงานโรงแรม ซึ่งถูกมองว่าเป็นเพียง "สถานที่สำหรับหาความสำราญ" อีกทั้งการระดมทุนก็เป็นไปอย่างยากลำบากในยุคที่ยังไม่มีตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ท่านต้องใช้วิธีขายหุ้นเพื่อรวบรวมเงินทุนสำหรับโครงการอันยิ่งใหญ่นี้

ในที่สุด โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ได้เปิดประตูต้อนรับแขกอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในพิธีเปิด การถือกำเนิดของดุสิตธานีจึงไม่ใช่แค่การเปิดโรงแรมแห่งใหม่ แต่เป็นการประกาศศักดาของอัตลักษณ์ไทยยุคใหม่ ที่สามารถยืนหยัดอย่างสง่างาม ทันสมัย และหยั่งรากลึกในวัฒนธรรมของตนเองได้อย่างภาคภูมิ

 

จิตวิญญาณแห่งการต้อนรับ

 

หัวใจของดุสิตธานีไม่ได้อยู่ที่โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่อยู่ที่สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ นั่นคือปรัชญาการบริการและแบรนด์ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่อธิบาย "วิธีการ" และ "เหตุผล" ที่อยู่เบื้องหลังประสบการณ์อันน่าประทับใจของดุสิต

 

ปรัชญาดุสิต นิยามของ “ความกรุณา”

 

แก่นแท้ของแบรนด์ดุสิตธานีถูกสรุปไว้ในวิสัยทัศน์ที่ว่า "ภูมิใจในความเป็นไทย มอบบริการจากใจอันงดงาม สร้างความประทับใจทั่วโลก" แต่นี่ไม่ใช่เป็นเพียงคำขวัญทางการตลาด หากแต่เป็นปรัชญาที่ถูกนำมาปฏิบัติจริงอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านหลักการบริการที่เรียกว่า "Dusit Do's" ซึ่งเป็นแนวทางที่พนักงานทุกคนต้องยึดถือ เช่น 'ทักทาย' ด้วยรอยยิ้มและสายตา, 'ใช้ชื่อ' เพื่อจดจำและเรียกชื่อแขก, และ 'รับฟังแล้วปฏิบัติ' เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของแขกอย่างแท้จริง

รากฐานที่สำคัญที่สุดของปรัชญานี้คือ "คน" ท่านผู้หญิงชนัตถ์มีความเชื่อมั่นในการสร้างบุคลากรด้วยตนเอง ท่านเลือกที่จะ "เอาเด็กใหม่ๆ เฟรชๆ มาทำ" และฝึกฝนพวกเขาอย่างเข้มข้น แทนที่จะดึงตัวพนักงานจากที่อื่น แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่สร้างทีมงานที่มีความจงรักภักดีและซึมซับวัฒนธรรมของดุสิตอย่างเต็มเปี่ยม แต่ยังนำไปสู่การก่อตั้ง "โรงเรียนการโรงแรมดุสิตธานี" ในปี พ.ศ. 2536 (ซึ่งต่อมาคือวิทยาลัยดุสิตธานี) และการร่วมมือกับสถาบันเลอ กอร์ดอง เบลอ ในปี พ.ศ. 2550 การกระทำนี้ได้เปลี่ยนการฝึกอบรมเฉพาะกิจให้กลายเป็นสถาบันที่สร้างบุคลากรคุณภาพป้อนให้กับทั้งเครือและอุตสาหกรรมโดยรวม

การสร้างวัฒนธรรมบริการที่เป็นเลิศนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์เป็น "ผู้นำตัวอย่าง" ท่านมักจะเดินทักทายแขกและพูดคุยกับพนักงานอย่างเป็นกันเอง สิ่งนี้ได้สร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบและยั่งยืน กล่าวคือ สถาบันการศึกษาของดุสิตผลิตบุคลากรที่ได้รับการปลูกฝังปรัชญาการบริการอันเป็นเอกลักษณ์ จากนั้นบุคลากรเหล่านี้ก็ได้เข้าไปทำงานในโรงแรมต่างๆ ในเครือ เพื่อสืบสานและส่งต่อวัฒนธรรมนั้นต่อไป กลายเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันที่คู่แข่งยากจะลอกเลียนแบบได้ ปรัชญาที่เริ่มต้นจากความใส่ใจได้พัฒนาไปสู่การให้ความสำคัญกับความยั่งยืน สิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานระดับโลกอยู่เสมอ

 

อัตลักษณ์ที่พัฒนาไป

 

จากโรงแรมแบรนด์เดียว ดุสิตธานีได้พัฒนาและขยายพอร์ตโฟลิโออย่างมีกลยุทธ์เพื่อเจาะตลาดในกลุ่มต่างๆ โดยแต่ละแบรนด์มีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ยังคงยึดโยงอยู่กับปรัชญาการบริการอันอบอุ่นแบบไทย

การขยายแบรนด์เริ่มต้นจากแบรนด์หลักอย่าง ดุสิตธานี (Dusit Thani) ซึ่งเป็นแบรนด์หรูหราระดับ Bespoke Luxury และ ดุสิต ปริ๊นเซส (Dusit Princess) ที่เจาะตลาดระดับ Upper Midscale สำหรับนักเดินทางที่ต้องการความสะดวกสบายและคุ้มค่า ต่อมาในปี พ.ศ. 2549 เครือได้เปิดตัวแบรนด์ ดุสิตดีทู (dusitD2) เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย เจาะกลุ่ม Lifestyle Upscale ที่มีชีวิตชีวา และ ดุสิต เดวาราณา (Dusit Devarana) ที่ยกระดับสู่ความเป็น Wellness Luxury เน้นการพักผ่อนเพื่อสุขภาพแบบองค์รวม

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือการเปิดตัว อาศัย โฮเทล (ASAI Hotels) ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับ Lifestyle Midscale ที่มีแนวคิด "lean-luxury" เพื่อตอบสนอง "นักเดินทางที่มีหัวใจแบบมิลเลนเนียล" (millennial-minded travellers)  แบรนด์อาศัยมีจุดเด่นที่ห้องพักขนาด "กะทัดรัดอย่างชาญฉลาด" (thoughtfully compact) แต่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เพื่อการพบปะสังสรรค์ ทำงานร่วมกัน และมอบประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มที่เชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่น การเกิดขึ้นของอาศัยคือการตอบสนองโดยตรงต่อเศรษฐกิจแบ่งปัน (sharing economy) และเทรนด์การทำงานที่เส้นแบ่งระหว่างเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวเลือนลางลง (work-life blur) 

ล่าสุด เครือดุสิตยังได้เปิดตัว ดุสิต คอลเลคชั่น (Dusit Collection) เพื่อรวบรวมโรงแรมอิสระที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และ ดุสิต โฮเทล (Dusit Hotels) เพื่อเจาะตลาด Upper-Upscale ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การเติบโตที่ยืดหยุ่นและครอบคลุมทุกตลาด การขยายพอร์ตโฟลิโอแบรนด์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวเชิงกลยุทธ์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรของนักเดินทาง เป็นการยอมรับว่ารูปแบบความหรูหราคลาสสิกอาจไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์และชุมชนมากกว่าความโอ่อ่าและความเป็นส่วนตัว นับเป็นการวางรากฐานเพื่ออนาคตของบริษัทอย่างชาญฉลาด

Table 1: The Dusit International Brand Portfolio

BrandSegmentCore ConceptTarget Traveler
Dusit ThaniBespoke Luxuryโรงแรมระดับไอคอนิกที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์เหนือกาลเวลา พร้อมการบริการอันอบอุ่นอย่างไทยนักเดินทางทั่วโลกผู้มองหาความหรูหราคลาสสิกและการดื่มด่ำกับวัฒนธรรม
DevaranaWellness Luxuryรีทรีตสุดหรูที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แบบกลุ่มลูกค้าระดับบนที่แสวงหาประสบการณ์ด้านสุขภาพที่เป็นส่วนตัวและพิเศษสุด
dusitD2Lifestyle Upscaleโรงแรมที่มีชีวิตชีวา ทันสมัย และมีสไตล์ในทำเลใจกลางเมืองสำคัญนักเดินทางหัวใจมิลเลนเนียลที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีและมองหาการผสมผสานระหว่างการทำงานและการพักผ่อน
Dusit PrincessUpper Midscaleความสะดวกสบายที่เรียบง่าย คุ้มค่า และใช้งานได้จริงในทำเลที่สะดวกสบายนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวที่ต้องการประสิทธิภาพและความคุ้มค่า
ASAI HotelsLifestyle Midscaleปรัชญา "Live Local" กับห้องพักขนาดกะทัดรัดและพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่นักเดินทางหัวใจมิลเลนเนียลผู้ใฝ่รู้ ที่มองหาประสบการณ์จริงที่เชื่อมโยงกับชุมชน
Dusit CollectionCharacter Luxuryโรงแรมอิสระที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น มีเรื่องราวและตัวตนที่แตกต่างนักเดินทางที่มองหาที่พักหรูหราที่ไม่เหมือนใครและไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
Dusit HotelsUpper-Upscaleประสบการณ์ที่ปรับให้เข้ากับท้องถิ่น โดยสร้างสมดุลระหว่างมาตรฐานของแบรนด์และเอกลักษณ์ของสถานที่นักธุรกิจและนักเดินทางยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายและบริบทของท้องถิ่น

 

จากประเทศไทยสู่เวทีโลก

 

ส่วนนี้จะติดตามเส้นทางการขยายตัวทางกายภาพของแบรนด์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปรัชญาและโครงสร้างแบรนด์ถูกนำไปใช้อย่างไรในเวทีโลก

 

การเดินทางทั่วโลกเริ่มต้นแล้ว

 

หลังจากการสร้างรากฐานที่มั่นคงในประเทศด้วยการเปิดรีสอร์ตในจุดหมายปลายทางสำคัญอย่างภูเก็ต (พ.ศ. 2530), พัทยา (พ.ศ. 2531) และหัวหิน (พ.ศ. 2533) ดุสิตธานีก็ได้เริ่มก้าวแรกสู่เวทีโลกอย่างแท้จริงในปี พ.ศ. 2540 ด้วยการเข้าซื้อกิจการโรงแรม Hotel Nikko Manila Garden และเปลี่ยนชื่อเป็น โรงแรมดุสิตธานี มะนิลา ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศเป็นครั้งแรก

จากนั้นเป็นต้นมา อาณาจักรของดุสิตธานีได้แผ่ขยายไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยใช้กลยุทธ์ผสมผสานระหว่างการลงทุนสร้างโรงแรมเองและการรับจ้างบริหารเพื่อการเติบโตที่รวดเร็วและใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ เครือดุสิตได้ปักธงในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่ตะวันออกกลาง (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, กาตาร์), จีน, สหรัฐอเมริกา (กวม), แอฟริกา (อียิปต์, เคนยา) และล่าสุดในยุโรป (กรีซ) และญี่ปุ่น การขยายตัวนี้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเข้าสู่ตลาดที่มีนักท่องเที่ยวจากเอเชียเป็นจำนวนมาก และ/หรือตลาดที่ "การบริการที่เป็นเลิศ" สามารถสร้างความแตกต่างที่สำคัญได้ ซึ่งเป็นการเลือกสมรภูมิที่ดุสิตธานีสามารถใช้จุดแข็งด้าน "การบริการอันอบอุ่นอย่างไทย" ให้เป็นประโยชน์สูงสุด

 

ดุสิตธานี มัลดีฟส์ - สวรรค์อันสมบูรณ์แบบ

 

โรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่สุดของการนำ DNA ของแบรนด์ไปปรับใช้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างและเปราะบาง ที่นี่เป็นบททดสอบถึงความสามารถในการปรับตัวของแบรนด์ได้อย่างดีเยี่ยม โรงแรมตั้งอยู่บนเกาะมุดดู (Mudhdhoo Island) ในบา อะทอลล์ (Baa Atoll) ซึ่งเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งแรกของมัลดีฟส์ที่ได้รับการรับรองจาก UNESCO ทำเลที่ตั้งนี้ได้กำหนดทิศทางของโรงแรมให้มุ่งไปสู่ความหรูหราที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

ที่นี่คือการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่าง "มรดกความเป็นไทยกับวัฒนธรรมอันอบอุ่นของเกาะมัลดีฟส์" เห็นได้ชัดจากการตกแต่งวิลล่าที่ใช้ "การตกแต่งภายในแบบไทยที่หรูหรา" และ "เฟอร์นิเจอร์ไทยที่วิจิตรบรรจง" ภายในโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบมัลดีฟส์ ประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของดุสิตได้ถูกนำมาตีความใหม่ให้เข้ากับบริบทของสถานที่:

เทวารัณย์ สปา (Devarana Spa): แนวคิด "สวนสวรรค์" ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างน่าทึ่งผ่านห้องทรีตเมนต์ที่ตั้งอยู่บนยอดไม้ท่ามกลางทิวต้นมะพร้าว เป็นการผสมผสานปรัชญาการบำบัดแบบไทยเข้ากับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ที่นี่มีบริการทรีตเมนต์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากไทย เช่น "Harmony of Tad Si" และการนวดโดยใช้ไม้ตอกเส้นและลูกประคบสมุนไพร

ห้องอาหารเบญจรงค์ (Benjarong Restaurant): ห้องอาหารไทยซิกเนเจอร์ของเครือ ถูกจินตนาการขึ้นใหม่ในรูปแบบของศาลาที่ตั้งอยู่เหนือน้ำทะเลสีฟ้าคราม มอบประสบการณ์การรับประทานอาหารไทยต้นตำรับพร้อมทิวทัศน์มหาสมุทรอันงดงาม

การโอบรับสิ่งแวดล้อม: ความมุ่งมั่นต่อพื้นที่สงวนชีวมณฑลของ UNESCO ไม่ใช่เป็นเพียงนโยบาย แต่เป็นการลงมือปฏิบัติจริง โรงแรมมีนักชีววิทยาทางทะเลประจำการ มีโครงการฟื้นฟูปะการัง (ที่แขกสามารถร่วมสนับสนุนได้) และการเฝ้าติดตามสัตว์ทะเลหายาก

ดุสิตธานี มัลดีฟส์ จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าปรัชญา "การบริการอันอบอุ่น" ได้วิวัฒนาการไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่กลมกลืนระหว่างแขกผู้เข้าพัก วัฒนธรรม และธรรมชาติ เป็นการแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่ชัดเจนสามารถก้าวสู่ระดับโลกและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร โดยการปรับใช้หลักการสำคัญแทนที่จะยึดติดกับรูปแบบทางกายภาพเดิมๆ

 

ก้าวต่อไป

 

ส่วนสุดท้ายนี้จะมองไปยังอนาคต วิเคราะห์โครงการที่ทะเยอทะยานที่สุดของแบรนด์ และสะท้อนถึงการเดินทางทั้งหมด

 

ตำนานที่กลับมาเกิดใหม่: ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค

 

การตัดสินใจทุบโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมทิ้ง และแทนที่ด้วยโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) มูลค่า 4.6 หมื่นล้านบาท คือการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท โครงการ "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" ซึ่งเป็นความร่วมมือกับบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ประกอบด้วยโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่ที่มีขนาดเล็กลง (257 ห้อง), ที่พักอาศัยสุดหรู (Dusit Residences & Dusit Parkside), ศูนย์การค้า, อาคารสำนักงาน และสวนลอยฟ้าขนาด 7 ไร่

แต่โครงการนี้ไม่ใช่การลบอดีตทิ้ง ตรงกันข้าม มันคือการสร้างอนาคตโดยเคารพรากเหง้า ยอดแหลมสีทองอันเป็นเอกลักษณ์จะถูกเก็บรักษาและนำกลับมาติดตั้งใหม่อย่างสง่างาม และโรงแรมแห่งใหม่ก็ถูกออกแบบมาเพื่อสืบทอด "จิตวิญญาณ" ของโรงแรมเดิม ยิ่งไปกว่านั้น จะมีการจัดทำ "Heritage Floor" เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์และรวบรวมรายละเอียดการออกแบบของอาคารเดิมไว้เพื่อการศึกษาต่อไป

ในเชิงกลยุทธ์ โครงการนี้คือบทสรุปของกลยุทธ์ "สร้างสมดุล (Balance), ขยายธุรกิจ (Expand) และกระจายความเสี่ยง (Diversify)" เป็นการเพิ่มความหลากหลายของแหล่งรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพียงอย่างเดียวไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกที่มีความมั่นคงกว่า ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์สูงสุดจากที่ดินผืนงามใจกลางเมือง โครงการนี้เป็นการตัดสินใจที่เฉียบแหลมทางการเงินและชาญฉลาดทางความรู้สึก เพราะมันช่วยให้ดุสิตธานีมีสินทรัพย์ที่ทันสมัยและทำกำไรสูง ขณะเดียวกันก็ยังคงเชื่อมโยงกับเรื่องราวต้นกำเนิดของแบรนด์ได้อย่างสมบูรณ์ โดยคาดว่าจะทยอยเปิดให้บริการส่วนต่างๆ จนครบภายในปี พ.ศ. 2568

 

พลังแห่งความสง่างามที่ยั่งยืน

 

จากความฝันของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการสร้างโรงแรมระดับโลกของคนไทย สู่การเป็นกลุ่มธุรกิจบริการระดับนานาชาติ เรื่องราวของดุสิตธานีคือมหากาพย์แห่งความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ และความสามารถในการปรับตัว มรดกของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ไม่ได้เป็นเพียงอาคารหรือตัวเลขผลประกอบการ แต่คือปรัชญา "การบริการอันอบอุ่นอย่างไทย" ที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าสามารถเดินทางข้ามพรมแดนและกาลเวลาได้

ในศตวรรษที่ 21 ที่ความหรูหราถูกนิยามใหม่ ดุสิตธานีกำลังเดินหน้าต่อไปด้วยการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทยอันเป็นเอกลักษณ์ กับการตอบสนองความต้องการของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การเดินทางจากโรงแรมปริ๊นเซสสู่ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค และการขยายสาขาไปไกลถึงมัลดีฟส์ คือบทพิสูจน์ถึงพลังที่ยั่งยืนของ "ความสง่างาม" (Grace) ที่เป็นหัวใจของดุสิตธานีเสมอมา

 

การมาถึงของ dusitD2 Maldives

 

หากดุสิตธานี มัลดีฟส์ คือบทกวีแห่งความหรูหราอันเงียบสงบ การมาถึงของ ดุสิตดีทู เฟย์ดู มัลดีฟส์ (dusitD2 Feydhoo Maldives) ก็เปรียบเสมือนการเปิดฉากบทใหม่ที่เปี่ยมด้วยพลังและความมีชีวิตชีวา การขยายตัวครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนโรงแรม แต่คือการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่สะท้อนความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อภูมิทัศน์ของนักเดินทางที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นการประกาศว่าสรวงสวรรค์แห่งมัลดีฟส์นั้นกว้างใหญ่พอสำหรับนิยามของคำว่า "สวรรค์" ที่หลากหลาย 

รอติดตามในบทความต่อไปถึง  ดุสิตดีทู เฟย์ดู มัลดีฟส์ (dusitD2 Feydhoo Maldives) มีความน่าสนใจอย่างไรในบทความต่อจากนี้ที่เราจะเล่าให้ฟัง



Reference


https://www.dusit.com/about-us/history/
https://en.wikipedia.org/wiki/Dusit_Thani_Bangkok

DusitThani
ดุสิตธานี
DusitGraciousness
ASAIhotels
dusitD2
DevaranaWellness
LuxuryHotel
HotelHistory
HospitalityPhilosophy
WellnessRetreat
SustainableTourism
MarineConservation
DusitThaniMaldives
BaaAtoll
UNESCOBiosphere

More from MALDIVES101

Review-Dusit-D2-Feydhoo-Maldives
รีวิว Dusit D2 Feydhoo Maldives (ดุสิตดีทู เฟย์ดู มัลดีฟส์) ปลดปล่อยพลังแห่งสรวงสวรรค์ในแบบที่คุณเลือกเอง
เมื่อภาพของมัลดีฟส์ผุดขึ้นในจินตนาการ เรามักนึกถึงความหรูหราอันเงียบสงบ วิลล่ากลางน้ำที่ตัดขาดจากโลกภายนอก และการเดินทางที่ต้องใช้ความพยายามเพื่อไปให้ถึง... แต่จะเกิดอะไรขึ้น หากที่แห่งนั้นถูกปลดล็อกให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เปี่ยมด้วยพลังชีวิตชีวา และมอบอิสระให้คุณได้ออกแบบประสบการณ์ในแบบของตัวเอง?
Read more
Review-gili-lankanfushi-maldives-banner
รีวิว Gili Lankanfushi Maldives สุดยอดประสบการณ์รีสอร์ทหรูเหนือกาลเวลา
Gili Lankanfushi รีสอร์ทที่เป็นดั่งอัญมณีซ่อนเร้นจากโลกภายนอก ที่ผสานความหรูหราเข้ากับปรัชญาการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสุดยอดประสบการณ์ในกลุ่ม Ultra Luxury, Sustainable Luxury และ Wellness Luxury Resort อย่างแท้จริง
Read more