centara-hotel-and-resort-logo-update

ประวัติศาสตร์ Centara Hotel & Resort จากอดีตสู่การเติบโตเร็วแบบก้าวกระโดด

23-07-2025

การเดินทาง 4 ทศวรรษของ 'เซ็นทารา' และบทพิสูจน์แห่งการเป็นผู้นำในมัลดีฟส์

 

Centara-hotel-and-resort-group-logo

 

บทนำ: สัมผัสแห่งความเป็นไทยในมหาสมุทรโลก

ณ ใจกลางมหาสมุทรอินเดีย ที่หมู่เกาะมัลดีฟส์เปล่งประกายดั่งสรวงสวรรค์บนดิน ท่ามกลางภาพจำของหาดทรายขาวและน้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์อันเป็นนิรันดร์ มีเรื่องราวแห่งความทะเยอทะยานทางธุรกิจและชัยชนะทางวัฒนธรรมบทหนึ่งกำลังถูกจารึกขึ้น เรื่องราวนี้ไม่ได้เริ่มต้นที่หาดทราย แต่กำเนิดขึ้นใจกลางกรุงเทพมหานครเมื่อกว่าสี่ทศวรรษก่อน และได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาปักธงแห่งความเป็นเลิศด้านบริการแบบไทยอย่างสง่างาม นี่คือมหากาพย์ของ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา (Centara Hotels & Resorts) จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงโครงการเดี่ยวอันท้าทาย สู่การเป็นผู้เล่นคนสำคัญในเวทีการบริการระดับโลก ซึ่งมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในการก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในร้อยแบรนด์โรงแรมชั้นนำของโลกภายในปี พ.ศ. 2570

บทความเชิงลึกนี้ไม่ได้มุ่งนำเสนอเพียงลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของเซ็นทารา แต่จะวิเคราะห์และเจาะลึกถึงแก่นแท้ของปรัชญา กลยุทธ์ และวิสัยทัศน์ที่ขับเคลื่อนอาณาจักรแห่งนี้ให้เติบโตอย่างมั่นคงและน่าทึ่ง โดยจะแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จของเซ็นทารา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญในตลาดมัลดีฟส์อันเป็นสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนั้น เป็นผลลัพธ์อันสมบูรณ์แบบจากสามประสานที่ลงตัว นั่นคือ: ปรัชญาธุรกิจครอบครัวที่หยั่งรากลึกของบริษัทแม่อย่างกลุ่มเซ็นทรัล, สถาปัตยกรรมของแบรนด์ ที่ถูกพัฒนาและปรับเปลี่ยนอย่างชาญฉลาด และความสามารถอันเฉียบคมในการมองเห็นและยึดครองตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่คู่แข่งมองข้าม การเดินทางของเซ็นทาราจึงเป็นมากกว่าเรื่องราวของโรงแรม แต่คือบทพิสูจน์ว่าสัมผัสอันอบอุ่นและไมตรีจิตแบบไทย สามารถสร้างมาตรฐานใหม่แห่งความเป็นเลิศบนเวทีโลกได้อย่างไร

 

 

บทที่ 1: ปฐมบทแห่งตำนาน - จากรากฐานค้าปลีกสู่จักรวรรดิแห่งการบริการ

1.1 มรดกจิราธิวัฒน์และปรัชญาแห่ง "เซ็นทรัล"

เพื่อที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของเซ็นทารา จำเป็นต้องย้อนกลับไปยังจุดกำเนิดของ "กลุ่มเซ็นทรัล" อาณาจักรค้าปลีกที่ก่อตั้งโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี พ.ศ. 2490  รากฐานของกลุ่มบริษัทไม่ได้อยู่ที่ธุรกิจโรงแรม แต่อยู่ที่ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพฤติกรรมผู้บริโภค การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในทำเลทอง และการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ครบวงจร ซึ่งปรากฏชัดเจนผ่านการเปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในปี พ.ศ. 2499 ซึ่งเป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในขณะนั้น  ดีเอ็นเอของความเป็น "ศูนย์กลาง" แห่งไลฟ์สไตล์นี้เอง ที่ได้กลายเป็นพิมพ์เขียวสำคัญเมื่อกลุ่มเซ็นทรัลตัดสินใจขยายธุรกิจเข้าสู่สมรภูมิใหม่ที่ไม่คุ้นเคย นั่นคือธุรกิจโรงแรมและศูนย์ประชุม ภายใต้การนำของบุคลากรสำคัญอย่างคุณสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ 

 

mr-sutthikiat-jirathiwat

 

การตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ไม่ใช่เพียงการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ แต่เป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่เรียกว่า "การบูรณาการเชิงเสริมพลัง (Synergistic Integration)" อย่างแท้จริง โครงการแรกที่ลาดพร้าวไม่ได้ถูกวางแผนให้เป็นเพียงโรงแรมเดี่ยวๆ แต่ถูกออกแบบให้เป็น "ศูนย์การค้า ศูนย์ประชุม และโรงแรมครบวงจรเป็นแห่งแรกของไทย" แนวคิดนี้เผยให้เห็นวิสัยทัศน์ที่ก้าวล้ำในการสร้าง "ระบบนิเวศ (Ecosystem)" ที่สมบูรณ์ในตัวเองตั้งแต่แรกเริ่ม โดยธุรกิจค้าปลีกจะช่วยดึงดูดผู้คนให้เข้ามาใช้บริการโรงแรมและศูนย์ประชุม ขณะเดียวกัน โรงแรมก็จะทำหน้าที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในศูนย์การค้า กลยุทธ์การสร้างโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use Development) นี้ ได้กลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งและเป็นโมเดลที่กลุ่มเซ็นทรัลและเซ็นทารานำมาปรับใช้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

 

1.2 หมุดหมายแรก ณ ลาดพร้าว: การเดิมพันครั้งใหญ่

ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ขณะที่เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังคงมีความผันผวน กลุ่มเซ็นทรัลได้ทำการเดิมพันครั้งใหญ่ด้วยการเข้าซื้อที่ดินขนาด 7.5 เฮกตาร์ หรือประมาณ 47 ไร่ ในย่านจตุจักร เพื่อสร้างโรงแรมระดับห้าดาวขนาด 600 ห้อง พร้อมศูนย์ประชุม ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับตระกูลจิราธิวัฒน์ที่ "ไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจโรงแรมหรือศูนย์ประชุมมาก่อน" โครงการนี้จึงถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ตระกูลจิราธิวัฒน์มีความเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยกำลังจะกลายเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้ที่สำคัญที่สุดของประเทศ

โรงแรมแห่งแรกในเครือได้เปิดประตูต้อนรับแขกครั้งแรกในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2526 หรือ ค.ศ. 1983 โดยในช่วงแรกได้ร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกและเปิดให้บริการภายใต้ชื่อ "ไฮแอท เซ็นทรัล พลาซา" (Hyatt Central Plaza) การตัดสินใจร่วมมือกับแบรนด์บริหารโรงแรมระดับสากลอย่าง ไฮแอท และต่อมาคือ โซฟิเทล (Sofitel) ไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ แต่เป็นกลยุทธ์อันชาญฉลาดที่เรียกว่า

"ช่วงบ่มเพาะ (Incubation Period)" การเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ชั้นนำเหล่านี้เปรียบเสมือนการส่งทีมงานเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลกด้านการโรงแรม ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลได้เรียนรู้และซึมซับมาตรฐานการบริหารจัดการ การปฏิบัติการ และการบริการระดับห้าดาวจากภายใน โดยใช้สินทรัพย์ของตนเองเป็นห้องเรียนภาคปฏิบัติ เมื่อสัญญากับกลุ่ม Hyatt สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2530 โรงแรมได้เปลี่ยนมาบริหารงานเองภายใต้ชื่อ โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา โดยยังคงรักษาบุคลากรชุดเดิมที่มีความรู้ความสามารถไว้ ประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมานี้เองที่กลายเป็นทุนล้ำค่าในการสร้างและขยายแบรนด์โรงแรมของตนเองในเวลาต่อมา

 

1.3 จิตวิญญาณแห่งแบรนด์: "ครอบครัว" และ "ความเป็นไทย"

หัวใจที่ขับเคลื่อนเซ็นทาราไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เฉียบคม แต่คือปรัชญาที่หยั่งรากลึกจากตัวตนขององค์กร นั่นคือ "มรดกของครอบครัวไทย" (Thai family heritage) และการบริการด้วย "ไมตรีจิตไทยอันอบอุ่นเสมือนคนในครอบครัว" ปรัชญานี้ไม่ใช่เพียงวาทกรรมทางการตลาด แต่เป็นคุณค่าหลักที่สะท้อนมาจากอัตลักษณ์ของตระกูลจิราธิวัฒน์ในฐานะธุรกิจครอบครัวของคนไทย ซึ่งถ่ายทอดออกมาเป็นวัฒนธรรมการบริการที่จับต้องได้

แนวคิดคำว่า "ครอบครัว" ของเซ็นทารานั้นดำเนินไปในสองระดับพร้อมกัน ระดับแรก คือการให้ความสำคัญกับ "ตลาดครอบครัว" อย่างชัดเจน ซึ่งเห็นได้จากการสร้างแบรนด์ "มิราจ" (Mirage) ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มครอบครัวโดยเฉพาะ แต่ในระดับที่ลึกซึ้งกว่านั้น "ครอบครัว" ยังหมายถึง "วัฒนธรรมองค์กรและการบริการ" ที่อบอุ่นและเป็นกันเอง ความเป็นสองมิตินี้ได้สร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่งและจริงใจ สามารถดึงดูดได้ทั้งนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวที่มองหากิจกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และนักเดินทางกลุ่มอื่นๆ ที่โหยหาประสบการณ์การบริการที่อบอุ่นและเป็นส่วนตัว แตกต่างจากเครือโรงแรมระดับโลกอื่นๆ ที่อาจมีภาพลักษณ์เป็นทางการและเข้าถึงยาก "ความเป็นไทยที่อบอุ่นดั่งครอบครัว" นี้เอง ได้กลายเป็นจุดขายและปัจจัยสร้างความแตกต่างที่สำคัญที่สุดของเซ็นทาราในเวทีโลก

 

บทที่ 2: พัฒนาการแห่งตัวตน - สถาปัตยกรรมแบรนด์และการเติบโตเชิงกลยุทธ์

2.1 การปฏิวัติแบรนด์ปี 2550: กำเนิด "เซ็นทารา"

หากการเปิดโรงแรมแห่งแรกในปี 2526 คือก้าวแรก การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ที่พลิกโฉมหน้าและกำหนดทิศทางสู่อนาคตคือ การรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) บริษัทได้เปลี่ยนชื่อจาก "โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทรัล" (Central Hotels & Resorts) เป็น "โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา" (Centara Hotels & Resorts) การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อ "สร้างอัตลักษณ์ที่แข็งแกร่งเป็นของตัวเอง" และเป็นการประกาศอิสรภาพทางแบรนด์อย่างเป็นทางการ เพื่อเปลี่ยนสถานะจาก "แผนกโรงแรมของกลุ่มเซ็นทรัล" สู่การเป็นแบรนด์ธุรกิจบริการระดับโลกที่พร้อมจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง

การรีแบรนด์ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนชื่อและโลโก้ แต่เป็นการวางรากฐานเชิงกลยุทธ์ที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดต่อการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นในอีกเพียง 2 ปีต่อมากับการเปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในมัลดีฟส์ในปี 2552 ลำดับเวลาของเหตุการณ์ทั้งสองนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความจงใจที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดี การสร้างแบรนด์ "เซ็นทารา" ที่มีเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำซ้อน และจดจำง่ายในระดับสากล เป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างการรับรู้และสั่งสมคุณค่าของแบรนด์ (Brand Equity) ในตลาดต่างประเทศที่ชื่อ "เซ็นทรัล" อาจไม่เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์โรงแรม การปฏิวัติแบรนด์ในปี 2550 จึงเปรียบเสมือนการเตรียมความพร้อมและตีตราประทับใหม่ให้แก่หนังสือเดินทางของแบรนด์ ก่อนที่จะออกเดินทางสู่เวทีโลกอย่างเต็มภาคภูมิ พร้อมกันนี้ยังได้มีการจัดลำดับชั้นของแบรนด์อย่างเป็นระบบ โดยใช้ชื่อ "เซ็นทารา แกรนด์" (Centara Grand) สำหรับโรงแรมระดับ 5 ดาว และ "เซ็นทารา" (Centara) สำหรับโรงแรมระดับ 4 ดาว ซึ่งเป็นการเริ่มต้นสร้างสถาปัตยกรรมแบรนด์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

2.2 สถาปัตยกรรมแห่งแบรนด์: พอร์ตโฟลิโอที่ตอบทุกโจทย์

กลยุทธ์การเติบโตที่สำคัญของเซ็นทาราคือการสร้างพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ที่หลากหลาย เพื่อเจาะตลาดในทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ระดับหรูหราไปจนถึงระดับที่เน้นความคุ้มค่า การมีแบรนด์ที่หลากหลายนี้เป็นกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยง ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดในแต่ละกลุ่มหรือภูมิภาค และสามารถดึงดูดลูกค้าได้จากหลายแหล่งที่มา ปัจจุบัน เซ็นทารามีแบรนด์หลัก 6 แบรนด์ และคอลเลกชันอื่นๆ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของนักเดินทาง

ตาราง: สถาปัตยกรรมแบรนด์เซ็นทารา (The Centara Brand Matrix)

แบรนด์ประเภท/ระดับแนวคิดหลัก (Core Concept)กลุ่มเป้าหมาย (Target Audience)
Centara Reserveลักชัวรี่เชิงประสบการณ์ (Experiential Luxury)รีสอร์ทหรูที่ขับเคลื่อนด้วยเรื่องราว (Story-driven) และประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ นักเดินทางระดับบนที่มองหาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ และหรูหราสูงสุด
Centara Grand5 ดาวโรงแรมอันโดดเด่นในทำเลที่ตั้งอันเป็นเอกลักษณ์ (Distinguished Hotels in Distinctive Locations) นักเดินทางเพื่อการพักผ่อนและนักธุรกิจระดับบนที่ต้องการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นเลิศ
Centara Mirageรีสอร์ทธีมครอบครัว (Themed Family Resort)สวนสนุกและโลกแห่งจินตนาการสำหรับทุกคนในครอบครัว ครอบครัวที่มีเด็ก ซึ่งมองหากิจกรรมและความบันเทิงครบวงจรภายในรีสอร์ท
Centara4 ดาว (แกนหลัก)ตอบโจทย์การเดินทางหลากหลายวัตถุประสงค์ (Bleisure: Business + Leisure) นักเดินทางกลุ่มกว้าง ทั้งเพื่อธุรกิจและการพักผ่อน ที่ต้องการความสะดวกสบายและบริการมาตรฐานสากล
Centara Lifeไลฟ์สไตล์-มิดสเกล (Lifestyle Midscale)มอบประสบการณ์ที่มีสีสันและที่พักสุดสบาย (Colorful & Comfortable) นักเดินทางที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า มองหาที่พักทันสมัย สะดวกสบาย และเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา
COSIไลฟ์สไตล์-สมาร์ท (Lifestyle-Smart)สำหรับนักเดินทางยุคใหม่ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์อิสระ นักเดินทางรุ่นใหม่, Digital Nomads และผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและการเชื่อมต่อที่ไม่สะดุด
The Centara Collectionบูทีค คอลเลกชัน (Boutique Collection)โรงแรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง สะท้อนจิตวิญญาณของจุดหมายปลายทางนั้นๆ นักเดินทางที่มองหาประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและมีเสน่ห์ในแบบฉบับของโรงแรมบูทีค

 

 

 

 

 

2.3 หมุดหมายแห่งความสำเร็จและเกียรติยศ

ตลอดเส้นทางการเติบโตกว่า 40 ปี เซ็นทาราได้สร้างหมุดหมายแห่งความสำเร็จไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินและสร้างความน่าเชื่อถือในอุตสาหกรรม หรือการเข้าซื้อและบูรณะ "โรงแรมรถไฟหัวหิน" ในปี พ.ศ. 2529 ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และปัจจุบันคือ "เซ็นทารา แกรนด์ บีชรีสอร์ทและวิลลา หัวหิน" โรงแรมมรดกที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

อย่างไรก็ตาม เกียรติยศสูงสุดที่ยืนยันถึงสถานะของเซ็นทาราในฐานะองค์กรชั้นนำของประเทศไทย คือการได้รับ พระราชทานตราตั้ง "ครุฑพ่าห์" จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในปี พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) เซ็นทารานับเป็นเครือโรงแรมแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับพระราชทานเกียรติยศอันสูงส่งนี้ ตราตั้งครุฑพ่าห์เป็นมากกว่ารางวัล แต่คือเครื่องหมายรับรองถึงความน่าเชื่อถือสูงสุดและการดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สำหรับแบรนด์ที่สร้างอัตลักษณ์จาก "ความเป็นไทย" เกียรติยศนี้ได้ยกสถานะของเซ็นทาราให้เป็นมากกว่าองค์กรธุรกิจ แต่เป็นสถาบันที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชาติ ตราสัญลักษณ์นี้จึงกลายเป็นสินทรัพย์ทางแบรนด์ที่ประเมินค่ามิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องนำเสนอตัวเองในฐานะทูตทางวัฒนธรรมและตัวแทนแห่งความเป็นเลิศของไทยบนเวทีโลก

 

 

บทที่ 3: บุกตลาด - จุดเริ่มต้นเซ็นทาราในมัลดีฟส์

การขยายอาณาเขตสู่มัลดีฟส์คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดถึงวิสัยทัศน์และความกล้าหาญเชิงกลยุทธ์ของเซ็นทารา จากการเป็นผู้บุกเบิกสู่การเป็นผู้กำหนดเทรนด์ เซ็นทาราได้สร้างคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงถึงสามระลอกในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งแต่ละระลอกสะท้อนถึงพัฒนาการทางความคิดและศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของแบรนด์

 

3.1 คลื่นลูกแรก (พ.ศ. 2552): Centara Grand Island Resort & Spa - การบุกเบิกตลาดต่างประเทศ

ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) เซ็นทาราได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการเปิด "เซ็นทารา แกรนด์ ไอส์แลนด์ รีสอร์ท แอนด์ สปา มัลดีฟส์" (Centara Grand Island Resort & Spa Maldives) ณ เซาท์ อารี อะทอลล์ (South Ari Atoll) 15 นี่คือโรงแรมแห่งแรกในต่างประเทศของเครือเซ็นทารา และเป็นการก้าวเท้าเข้าสู่สมรภูมิที่มีการแข่งขันสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

กลยุทธ์ที่ทำให้การเปิดตัวครั้งนี้ประสบความสำเร็จในทันที คือการนำเสนอแนวคิด "Ultimate All-Inclusive" ที่ครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่ค่าที่พัก, อาหารและเครื่องดื่มในห้องอาหารหลายแห่ง, เครดิตสำหรับสปา ไปจนถึงกิจกรรมและทัศนศึกษาต่างๆ เช่น การดำน้ำตื้น, ล่องเรือชมพระอาทิตย์ตก และการตกปลา การตัดสินใจเปิดตัวโรงแรมในต่างแดนแห่งแรกด้วยแนวคิดนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง เพราะเป็นการ

"ลดความเสี่ยง" ทั้งทางการเงินและทางจิตใจให้แก่นักท่องเที่ยว ในช่วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ของมัลดีฟส์คือจุดหมายปลายทางสำหรับคู่รักฮันนีมูนที่หรูหราและมีค่าใช้จ่ายแฝงสูง การนำเสนอแพ็กเกจที่โปร่งใสและรวมทุกอย่างไว้ในราคาเดียว ช่วยขจัดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายบานปลาย (Bill Shock) และทำให้การวางแผนงบประมาณเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ รีสอร์ทยังออกแบบมาเพื่อรองรับกลุ่มครอบครัวอย่างชัดเจน โดยมีวิลล่าน้ำสำหรับครอบครัว (Deluxe Family Water Villas) ที่มาพร้อมเตียงสองชั้นสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เซ็นทาราจึงสามารถเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มที่คู่แข่งส่วนใหญ่มองข้ามได้สำเร็จ ด้วยการทำให้มัลดีฟส์กลายเป็นสวรรค์ที่เข้าถึงง่ายและไร้กังวลสำหรับทุกคนในครอบครัว

 

3.2 คลื่นลูกที่สอง (พ.ศ. 2556): Centara Ras Fushi Resort & Spa - การสร้างสรวงสวรรค์สำหรับผู้ใหญ่

เพียงไม่กี่ปีหลังจากความสำเร็จของรีสอร์ทแห่งแรก เซ็นทาราก็ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นในตลาดมัลดีฟส์ด้วยการเปิดตัว "เซ็นทารา ราสฟูชิ รีสอร์ทแอนด์สปา มัลดีฟส์" (Centara Ras Fushi Resort & Spa Maldives) ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) รีสอร์ทแห่งที่สองนี้คือการแสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมในการแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation) อย่างแท้จริง หากเซ็นทารา แกรนด์ ไอส์แลนด์ คือคำตอบสำหรับครอบครัว ราสฟูชิก็ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อเป็น "สวรรค์สำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ" (Adults-Only Paradise)

รีสอร์ทแห่งนี้ตั้งอยู่ในนอร์ท มาเล่ อะทอลล์ (North Malé Atoll) ซึ่งเดินทางสะดวกด้วยเรือเร็วจากสนามบินนานาชาติ และนำเสนอแนวคิดที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มคู่รัก คู่ฮันนีมูน และนักเดินทางที่ต้องการความเงียบสงบและบรรยากาศโรแมนติก ด้วยวิลล่าจำนวน 140 หลัง ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความรู้สึกเป็นส่วนตัวและความผ่อนคลายสูงสุด การตัดสินใจสร้างรีสอร์ทสำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะนี้เป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นการประกาศว่าเซ็นทาราสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ทุกรูปแบบ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงตลาดครอบครัว การมีรีสอร์ทสองแห่งที่มีบุคลิกแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทำให้เซ็นทาราสามารถดึงดูดฐานลูกค้าได้กว้างขึ้นเป็นสองเท่า และสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่มีความยืดหยุ่นและเข้าใจความต้องการที่หลากหลายของนักเดินทางในจุดหมายปลายทางระดับโลกอย่างมัลดีฟส์

 

3.3 คลื่นลูกที่สาม (พ.ศ. 2567): Centara Mirage Lagoon - นิยามใหม่ของวันหยุดครอบครัว

หลังจากประสบความสำเร็จในการสร้างฐานที่มั่นแรก เซ็นทาราก็ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กลับยกระดับกลยุทธ์ครอบครัวขึ้นไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัว "เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์" (Centara Mirage Lagoon Maldives) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) รีสอร์ทแห่งนี้คือการประกาศอย่างกึกก้องว่าเซ็นทาราตั้งใจที่จะ "เป็นเจ้าของ (Own)" ตลาดครอบครัวในมัลดีฟส์อย่างแท้จริง เซ็นทารา มิราจ ลากูน ซึ่งเป็นรีสอร์ทแห่งที่ 4 ภายใต้แบรนด์ "มิราจ" ที่เน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลาง ถูกสร้างขึ้นภายใต้ธีม "โลกใต้ทะเล" (underwater world-themed) และไม่ได้เป็นเพียงรีสอร์ทที่ "เป็นมิตรกับครอบครัว" (family-friendly) แต่เป็นรีสอร์ทที่ "มีครอบครัวเป็นศูนย์กลาง" (family-centric) จุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือสวนน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ (outdoor water complex) ที่ประกอบด้วยสระว่ายน้ำ, สระเด็ก, แม่น้ำจำลอง (lazy river) และสนามเด็กเล่นทางน้ำ นอกจากนี้ยังมีคิดส์คลับ, E-Zone และ "แคนดี้ สปา" (Candy Spa) สปาที่ออกแบบมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ การลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเซ็นทาราเล็งเห็นถึงช่องว่างขนาดใหญ่ในตลาดมัลดีฟส์ นั่นคือความต้องการของครอบครัวยุคใหม่ที่มองหามากกว่าชายหาดที่เงียบสงบ แต่ต้องการกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อให้เด็กๆ ได้สนุกสนานอย่างเต็มที่ เซ็นทารา มิราจ ลากูน จึงเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับคำถามสำคัญของผู้ปกครองที่ว่า "จะทำอย่างไรให้ลูกๆ ไม่เบื่อเมื่ออยู่ในสรวงสวรรค์"

 

3.4 คลื่นลูกที่สี่ (พ.ศ. 2568): The Atollia และ Centara Grand Lagoon - วิสัยทัศน์แห่งการผนวกรวม

คลื่นลูกที่สี่คือจุดสูงสุดของกลยุทธ์เซ็นทาราในมัลดีฟส์ และเป็นวิสัยทัศน์ที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือการสร้าง "ดิ อะทอลเลีย บาย เซ็นทารา โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท" (The Atollia by Centara Hotels & Resorts) ซึ่งเป็น "จุดหมายปลายทางแบบหลายเกาะ" (multi-island destination) ที่เชื่อมต่อรีสอร์ทสองแห่งเข้าไว้ด้วยกัน คือ เซ็นทารา มิราจ ลากูน ที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา และ "เซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์" (Centara Grand Lagoon Maldives) ที่เปิดตัวตามมาในช่วงต้นปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) เซ็นทารา แกรนด์ ลากูน ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรีสอร์ทที่ให้ความรู้สึก "สงบ" (tranquil), "หรูหรา" (sophisticated) และ "ประณีต" (refined) เพื่อตอบโจทย์นักเดินทางที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและการพักผ่อนอย่างแท้จริง แนวคิด "สองเกาะ หนึ่งจุดหมายปลายทาง" (two islands, one destination) นี้ ถือเป็นกลยุทธ์ขั้นสูงในการแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation) และการสร้างพลังเสริมทางปฏิบัติการ (Operational Synergy) อย่างแท้จริง มันช่วยให้เซ็นทาราสามารถจับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและบางครั้งมีความต้องการที่ขัดแย้งกันได้ภายในโครงการเดียว ลองจินตนาการถึงครอบครัวใหญ่หลายรุ่นที่มาพักผ่อนด้วยกัน กลุ่มเด็กและวัยรุ่นสามารถปลดปล่อยพลังงานได้อย่างเต็มที่ที่สวนน้ำของฝั่งมิราจ ในขณะที่รุ่นปู่ย่าตายายสามารถพักผ่อนอย่างสงบสุขที่สระว่ายน้ำหรือสปาของฝั่งแกรนด์ โมเดลนี้ไม่เพียงแต่ขยายฐานลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมหาศาล แต่ยังช่วยให้สามารถใช้ทรัพยากรส่วนกลาง (Back-of-house) ร่วมกัน ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) อีกด้วย "ดิ อะทอลเลีย" คือบทสรุปที่สมบูรณ์แบบของแนวคิด "ระบบนิเวศ" ที่เคยริเริ่มไว้ที่ลาดพร้าวเมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งบัดนี้ได้ถูกนำมาสร้างให้เป็นจริงอย่างสง่างาม ณ ใจกลางมหาสมุทรอินเดีย 

 

บทที่ 4: บทวิเคราะห์และทิศทางแห่งอนาคต

4.1 ปรัชญา "The Place to Be": จากโรงแรมสู่จุดหมายปลายทาง

ปรัชญาและเป้าหมายที่ขับเคลื่อนเซ็นทาราในปัจจุบันถูกสรุปไว้ในสโลแกน "The Place to Be" คำประกาศนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่ต้องการก้าวข้ามการเป็นเพียง "ผู้ขายห้องพัก" ไปสู่การเป็น "ผู้สร้างสรรค์จุดหมายปลายทาง" (Destination Creator) อย่างเต็มตัว แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการสร้าง "ระบบนิเวศการเดินทางที่สมบูรณ์" (Complete Travel Ecosystem) ที่ไม่ได้รองรับแค่การท่องเที่ยวพักผ่อน (Leisure) แต่ยังรวมถึงการเดินทางเพื่อธุรกิจ (Business), การทำงานจากสถานที่ท่องเที่ยว (Workation) และการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

โครงการ "ดิ อะทอลเลีย" ในมัลดีฟส์ คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของปรัชญานี้ในภาคปฏิบัติ ที่แห่งนั้นไม่ใช่แค่โรงแรม แต่เป็นจุดหมายปลายทางที่ครบวงจรในตัวเอง สามารถมอบประสบการณ์ที่แตกต่างและหลากหลายให้กับนักเดินทางทุกรูปแบบภายในพื้นที่เดียวกัน การผนวกรวมความสนุกสนานของครอบครัวเข้ากับความหรูหราอันเงียบสงบ คือการเปลี่ยนนิยามของโรงแรมให้กลายเป็น "สถานที่" ที่ผู้คนปรารถนาจะไปเยือนเพื่อเติมเต็มทุกมิติของชีวิต

 

4.2 เส้นทางสู่ 100 แบรนด์ชั้นนำของโลก

เซ็นทารามีเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทายในการก้าวขึ้นเป็น หนึ่งใน 100 กลุ่มโรงแรมชั้นนำของโลกภายในปี พ.ศ. 2570 (ค.ศ. 2027) การจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องอาศัยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบด้วยการขยายธุรกิจเชิงรุก ทั้งในรูปแบบการลงทุนเองและรูปแบบ "Asset-light" ผ่านการรับจ้างบริหาร การบุกเบิกตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสูง เช่น ญี่ปุ่นและตะวันออกกลาง และการยึดมั่นในหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายที่จะยกเลิกการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและได้รับการรับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสากล (GSTC) ในทุกโรงแรมภายในปี 2568 

เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ทั้งสถาปัตยกรรมแบรนด์ที่ครอบคลุม, โมเดลการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในมัลดีฟส์, และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกลุ่มเซ็นทรัลซึ่งเป็นบริษัทแม่ เป้าหมายนี้แม้จะท้าทายแต่ก็มีความเป็นไปได้สูง โครงการ "ดิ อะทอลเลีย" สามารถใช้เป็นต้นแบบที่ขยายผลได้ (Scalable Model) สำหรับการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ผสมผสานหลายกลุ่มตลาดในอนาคต ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเครือข่ายโรงแรมให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

 

4.3 บทสรุป: มรดกแห่งวิสัยทัศน์

การเดินทางกว่าสี่ทศวรรษของโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา คือบทพิสูจน์ของพลังแห่งวิสัยทัศน์ระยะยาว จากก้าวแรกที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ลาดพร้าว สู่ช่วงเวลาแห่งการสร้างแบรนด์อย่างอดทนและรอบคอบ จนถึงการพิชิตตลาดมัลดีฟส์ด้วยกลยุทธ์ที่ซับซ้อนและเฉียบคม เซ็นทาราได้แสดงให้เห็นถึงการเป็นนักยุทธศาสตร์ชั้นครูในโลกธุรกิจบริการ เรื่องราวของเซ็นทาราคือมรดกที่แสดงให้เห็นว่าดีเอ็นเอของธุรกิจค้าปลีกของครอบครัวไทย สามารถวิวัฒนาการจนกลายเป็นพลังขับเคลื่อนในอุตสาหกรรมการบริการระดับโลก และสามารถปักธงแห่ง "ความเป็นไทย" ที่เปี่ยมด้วยไมตรีจิตและความอบอุ่นไว้ ณ ใจกลางสรวงสวรรค์ที่ผู้คนทั่วโลกต่างใฝ่ฝันถึงได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

CentaraHotelsandResorts
เซ็นทารา
CentaraThePlaceToBe
Centara40Years
CentaraMaldives
TheAtolliaMaldives
CentaraMirageLagoon
CentaraGrandLagoon
CentaraGrandIslandMaldives
Maldives
มัลดีฟส์
MaldivesResort
FamilyResortMaldives
รีวิวมัลดีฟส์
ที่พักมัลดีฟส์
เที่ยวมัลดีฟส์
สวรรค์ของครอบครัว
CentaraRasFushi

More from MALDIVES101

submarine-maldives-luxury-expeirence
DEEPFLIGHT ADVENTURES IN MALDIVES
ประสบการณ์สุด Exclusive ในประเทศมัลดีฟส์ที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ที่เดียวในโลก โดยประสบการณ์ Luxury นี้จะอยู่ที่รีสอร์ท Four Season Landaa Giraavaru แห่งนี้ โดยเรือดำน้ำนี้มีชื่อว่า DeepFlight Super Falcon 3S ซึ่งเป็นเรือดำน้ำที่มีความทันสมัยและใช้เทคโนโลยีที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งมีชีวิตใต้น้ำเป็นอย่างมาก 
Read more
When-is-a-good-time-to-go-to-the-Maldives
มัลดีฟส์ไปช่วงไหนดี?
แนะนำข้อมูลการที่ช่วงวางแผนการเดินทางเกี่ยวกับช่วงเวลา ความเหมาะสมและสภาพภูมิอากาศในแต่ละช่วงของประเทศมัลดีฟส์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักเดินทาง
Read more
Hotel-maldives-and-resort-maldives
โรงแรมมัลดีฟส์ หรือ รีสอร์ทมัลดีฟ มีกี่ระดับและแตกต่างกันอย่างไร
ทุกท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า โรงแรมหรือรีสอร์ทที่มัลดีฟส์ ถูกแบ่งระดับไว้กี่ระดับ แต่ละระดับนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ทีมงานจะเอาข้อมูลดีๆมาฝากเพื่อนๆกันนะครับ
Read more